โอวาทปาติโมกข์--------------------------------------------------------------------------------
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ
เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ทั้งสามประการข้างต้น เป็นการสรุปไว้แล้วซึ่งหลักธรรมทั้งหลายของพุทธศาสนา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น "หัวใจของพุทธศาสนา" เลยก็ว่าได้ และธรรมะดังกล่าวพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ในโอกาสวันมาฆบูชา หรือวันเพ็ญเดือนสามนั่นเอง
ตามบทสวดแล้ว โอวาทปาติโมกขคาถา ยังมีส่วนต่อเนื่องอีกครับ อย่ารอช้าคลิ๊กเลยครับ
โอวาทปาติโมกขคาถา(หันทะ มะยัง โอวาทะปาติโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส)
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ
เอตัง พุทธานะสาสะนัง
ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา
ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี
ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต
ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต
การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย
ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร
การสำรวมในปาติโมกข์
มัตตัญญุตา จะ ภัตตัส์มิง
ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง
การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด
อะธิจิตเต จะ อาโยโค
การหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง
เอตัง พุทธานะสาสะนัง
ธรรม ๖ อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
---
สังเกตุคำแปลที่ว่า "เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ตีความได้ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนในเรื่องเดียวกัน! ใช่ครับ ผมมั่นใจอย่างนั้น สามประการแรกที่กล่าวว่าเป็น "หัวใจของพุทธศาสนา" นั้น เป็นเรื่องที่พระศาสดาสอนแก่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศใด วรรณะใด ส่วนธรรมะในส่วนถัดมาเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนภิกษุ ศิษย์ของตถาคตเจ้า (ที่สมัยนั้นมาประชุมกันถึง ๑,๒๕๐ รูป) ให้ถือปฏิบัติและเดินไปในทางเดียวกัน ซึ่งถ้าพินิจพิเคราะห์ดูจะเห็นถึงใจความสำคัญที่สอนให้ภิกษุเป็นผู้มักน้อย มีความสำรวมในทุกๆ ด้าน และมีความเพียรพยายามในการพัฒนาจิตเพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม โอวาทปาติโมกข์ ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นวันที่เกิด จาตุรงคสันนิบาต คือการประชุมอันประกอบด้วยองค์ ๔ นั่นคือ
๑. พระสงฆ์ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
๒. พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
๓. พระสงฆ์เหล่านั้นเป็นพระสงฆ์ที่ได้รับ เอหิภิกขุอุปสัมปทา (พระพุทธเจ้าบวชให้)
๔. ตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะ (เดือน ๓) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา โอวาทปาติโมกข์
---
วิเคราะห์ วิจารณ์
นึกถึงสมัยเด็กๆ เรียนวิชาพุทธศาสนา ต้องพยายามท่องจำวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ๓ วันหลักๆ ว่าวันนั้นคือวันอะไร ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอะไร แล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จำได้แค่ช่วงนั้นแล้วก็ลืมๆ แล้วเดี๋ยวก็ขวนขวายหรือได้ยินอีกครั้งก็จำได้อีกชั่วขณะ แล้วเดี๋ยวก็ลืมอีก มาจนกระทั่งหลังจากบวชเรียนเริ่มจะจำความหลักๆ ได้ เหตุเพราะเริ่มมีหลักคิดเป็นระบบขึ้น
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๖ และหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ไปโปรดปัจจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา ทรงแสดงธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตตนสุต ว่าด้วยเรื่องการทำที่สุดสองอย่างคือ การทรมานกาย และการหลงอยู่ในกาม แล้วทรงตรัสถึงทางสายกลางและอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงเกิดพระสงฆ์ขึ้นในพระศาสนาเป็นครั้งแรก และเหตุการณ์สำคัญถัดจากนั้นก็เป็นช่วงหลังจากที่พระองค์ และพระสาวกเริ่มกระจายกันเผยแพร่พระศาสนา จนกระทั่งมาถึงเดือน ๓ จึงเกิด จาตุรงคสันนิบาต ขึ้น ด้วยหลักการจำเหตุการณ์จะทำให้เราลำดับเวลาได้อย่างถูกต้อง
ก็มีเหตุให้ต้องวิเคราะห์อีกเหมือนกันว่าระยะเวลาตั้งแต่ทรงตรัสรู้ และไปโปรดปัจจวัคคีย์เรื่อยมานั้นทรงบรรพชาให้กับกุลบุตรถึง ๑๒๕๐ รูปหรือไม่ ถ้านับตามพุทธประวัติก็เห็นว่าน่าจะครบอยู่เพราะเหล่าสาวกของชฎิล ๓ พี่น้องรวมก็ ๑,๐๐๐ คนเสียแล้ว
มาถึงตรงนี้ก็ขอกล่าวถึง เอหิภิกขุอุปสัมปทา เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ตามตำรากล่าวว่าคือ การอุปสมบทด้วยพระวาจาของพระพุทธเจ้า ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำ ที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ” เพียงแค่นี้บุคคลผู้นั้นก็เป็นภิกษุทันที
กลับเข้าเรื่องต่อ ถ้าจะกล่าวถึงเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์คงมีอีกหลายเรื่องให้พินิจวิเคราะห์ เช่นหลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งหลังจากตรัสรู้ยังทรงเสวยวิมุติสุขอยู่บริเวรใกล้สถานที่ตรัสรู้อีก ๗ สถาน เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ก่อนที่จะเดินทางไปโปรดปัจจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี ก็ต้องคิดอีกว่าอยู่ไกลหรือไม่ เดินเท้าไปถึงได้ในเวลากำหนดหรือไม่ นี่เป็นอีกเรื่องที่น่าคิดกัน ก็คงต้องดูแผนที่ในอดีตว่าสองสถานที่นี้อยู่ห่างไกลกันเพียงใด แต่ก็หายสงสัยได้ถ้าเชื่อว่าท่านใช้ฤทธิ์เดินทางไป
แต่ถึงอย่างไร ธรรมะ อันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ผมไม่มีข้อสงสัยในข้อธรรมเหล่านั้น และเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นผลชัดแจ้งด้วยตนเอง และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ดังบทสวดกล่าวว่า "อกาลิโก"
และเนื่องในวันมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ผมก็ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ร่วมกัน "ทำดี เว้นชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" ให้สมดังพระโอวาทขององค์สมเด็จพระศาสดาที่พวกเรานับถือกันครับ แล้วอย่าลืมเข้าวัดฟังธรรม สนทนาธรรม สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิกันบ้างนะครับ
จากเวบไซต์
นายกิ๊http://www.ki.in.th/content_view.php?ct_id=00037